รีวิวรถ

BMW CONNECTED DRIVE เติมศักยภาพยนตรกรรม iPerformance

BMW เดินหน้าคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้บุกเบิกการให้บริการดิจิทัลแห่งโลกยนตรกรรมในระดับสากล หนึ่งในนั้นได้แก่ฟีเจอร์สุดล้ำอย่าง BMW ConnectedDrive ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน 45 ประเทศทั่วโลก โดยแอพพลิเคชั่นที่ใช้เชื่อมต่ออย่าง BMW Connected มีผู้ใช้งานมากกว่า 2.3 ล้านคน รวมถึงรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูมากกว่า 10 ล้านคัน ที่เชื่อมต่อกับฟีเจอร์ดังกล่าว แม้ว่าผู้บริโภคทั่วโลกจะใช้งานกันมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว ทว่าเทคโนโลยีดังกล่าวกลับเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเรา ซึ่งก่อนหน้านี้ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้แนะนำฟีเจอร์ดังกล่าวให้เป็นที่รู้จักภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 ที่ผ่านมา ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

สำหรับ BMW ConnectedDrive เป็นระบบช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมไปถึงทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัว ซึ่งเป็นการผสานการทำงานระหว่าง เทคโนโลยีแพลตฟอร์ม Open Mobility Cloud ของบีเอ็มดับเบิลยู ร่วมกับระบบคลาวด์อัจฉริยะอย่าง ไมโครซอฟท์ อาซัวร์ เพื่อเพิ่มสมรรถนะการใช้งานให้กับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู iPerformance ในยุคของนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ (AI) และ Internet of Things ที่เรียกกันสั้นๆว่า (IoT) ระบบดังกล่าวจะได้รับการติดตั้งมาจากโรงงาน และไม่สามารถติดตั้งเพิ่มในภายหลัง โดยเชื่อมต่อกับศูนย์ข้อมูลของบีเอ็มดับเบิลยูผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งได้รับการติดตั้งมาในตัวรถ ส่งผลให้ระบบ BMW ConnectedDrive สามารถรับส่งข้อมูล และเชื่อมต่อกับ แอพพลิเคชั่น BMW Connected ได้ตลอดเวลา

 

 

ios สามารถดาวน์โหลดได้ที่  https://itunes.apple.com/th/app/bmw-connected/id1099848339?mt=8

Android สามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://play.google.com/store/apps/details?id=de.bmw.connected&hl=en

 

สำหรับบทบาทของ BMW ConnectedDrive ในฐานะระบบช่วยเหลือฉุกเฉิน จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณไปยังศูนย์ข้อมูลของ BMW โดยอัตโนมัติ เมื่อเซ็นเซอร์ของรถตรวจจับได้ว่ามีการปะทะหรือชน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำการติดต่อมายังรถ เพื่อตรวจเช็กว่าผู้ขับขี่นั้นยังมีสติหรือไม่อย่างไร เพื่อคำนวนถึงความรุนแรงของการชน ว่ามากน้อยเพียงใดจะได้ประสานต่อไปยังหน่วยงานต่างๆเพื่อดำเนินการช่วยเหลือ ในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่มีการโต้ตอบ เจ้าหน้าที่จะประเมินว่าอุบัติเหตุนั้นมีความรุนแรง ผู้ขับขี่อาจจะหมดสติหรือได้รับบาดเจ็บหนัก ก็จะดำเนินการส่งรถพยาบาลหรือรถฉุกเฉินมายังตำแหน่งที่รถอยู่ทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่นั้นสามารถตรวจเช็กได้ว่ารถอยู่ในตำแหน่งใด รวมไปถึงข้อมูลของรถคันดังกล่าว, สถานะของถุงลมนิรภัย, เข็มขัดนิรภัย และเซ็นเซอร์รับแรงกระแทก นอกจากนี้เรายังสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในกรณีฉุกเฉินได้ตลอดเวลา ผ่านปุ่ม SOS เพียงปุ่มเดียว ที่ติดตั้งอยู่บนแผงควบคุมเหนือศีรษะ ซึ่งจะทำการติดต่อไปยังศูนย์ข้อมูล BMW เพื่อขอรับการช่วยเหลือได้ด้วย เช่นกัน ทั้งยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดสำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ที่ได้รับการติดตั้งระบบ BMW ConnectedDrive

 

 

 

 

 

อีกหนึ่งหน้าที่นั้นคือผู้ช่วยส่วนตัวสำหรับผู้ใช้งาน ซึ่งจะสามารถดูข้อมูลและควบคุมระบบต่างๆของรถได้จากระยะไกลด้วยแอพพลิเคชั่น BMW Connected โดยสามารถใช้งานผ่าน iPhone รวมไปถึง Apple Watch ด้วยเช่นกัน โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญต่างๆเกี่ยวกับรถ ทว่าฟังก์ชั่นการใช้งานบนสมาร์ทวอทช์นั้น จะน้อยกว่าการควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน ฟังก์ชั่นดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็น Remote Services โดยผู้ใช้งานจะรู้สถานะของรถแบบเรียลไทม์ อาทิเช่น ประตูรถล็อกอยู่หรือไม่ กระจกรถเปิดอยู่หรือเปล่า รวมไปถึงฝากระโปรงหน้าและหลัง หรือแม้กระทั่งประมาณน้ำมันในถังและระดับของแบตเตอรี่ ทั้งยังสามารถคำนวณระยะทางที่คาดว่าจะแล่นได้ ด้วยจำนวนพลังงานที่มีอยู่ และสามารถล็อกประตูหรือปลดล็อกได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงเปิดไฟหน้ารถและบีบแตร ผ่านแอพพลิเคชั่น BMW Connected ในแอพพลิเคชั่นดังกล่าวยังมีการแจ้งเตือนข้อมูลเกี่ยวกับการบำรุงรักษารถได้จากทุกที่ ทุกเวลา รวมไปถึงสถานะของน้ำมันเครื่องและน้ำมันเบรก หรือแม้กระทั่งลมยางและเครื่องยนต์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ทั้งยังควบคุมระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารจากระยะไกล โดยผู้ใช้งานสามารถเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศในห้องโดยสารได้ผ่านสมาร์ทโฟน รวมไปถึงตั้งเวลาเปิด-ปิดล่วงหน้าให้ตรงกับเวลาที่ต้องการออกเดินทาง ทั้งยังสามารถควบคุมการชาร์จพลังงานไฟฟ้าในกรณีที่รถยนต์เชื่อมต่ออยู่กับสถานีชาร์จไฟฟ้า โดยผู้ใช้งานสามารถควบคุมการชาร์จด้วยการตั้งเวลาที่ต้องการได้ เพื่อเลือกให้ชาร์จไฟฟ้าในช่วง off peak หรือในช่วงเวลาที่มีความต้องการในการใช้ไฟฟ้าน้อยและมีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าช่วงเวลาอื่น

 

นอกจากนี้ BMW ConnectedDrive ยังเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ในเรื่องการหาข้อมูลต่างๆ โดยสามารถโทรหา Concierge Services เพื่อสอบถามข้อมูล อาทิเช่น หมายเลขโทรศัพท์หรือพิกัดของสถานที่ที่เราจะไป ซึ่งเจ้าหน้าที่จะส่งหมายเลขหรือพิกัดมายังตัวรถทันที หรือแม้กระทั่งสอบถามเส้นทาง เวลาเปิด-ปิด จุดหมายที่เราจะไปได้ด้วยเช่นกัน ทั้งยังสามารถตรวจสอบข้อมูลสภาพการจราจรได้แบบเรียลไทม์ โดยมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับที่เราใช้งานใน Google Maps ซึ่งจะใช้เส้นสีเขียว, สีส้ม และ สีแดง เป็นตัวแสดงความหนาแน่นของการจราจร โดยระบบจะคำนวณระยะทาง และระยะเวลาที่จะใช้เดินทางไปถึงยังจุดหมายด้วยเช่นกัน

สำหรับการใช้งาน BMW ConnectedDrive ในเมืองไทยนั้นอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังมีจำนวนรถรุ่นที่รองรับระบบดังกล่าวยังไม่มาก โดย บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ก็มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนให้มากขึ้น ซึ่งรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ที่ได้รับการติดตั้ง BMW ConnectedDrive จะสามารถใช้ฟีเจอร์ต่างๆโดยไม่เสียค่าแรกเข้า และค่าใช้จ่ายรายเดือน ในเบื้องต้นเป็นเวลา 3 ปี รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานต่างๆเข้ามาในอนาคตด้วยเช่นกัน

 

 

หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  https://www.bmw.co.th/th/topics/fascination-bmw/connected-drive/overview.html

 

Most Popular

To Top